Sunday, December 31, 2006

ฉัน




หากคิดเข้าใจ
ตัวตนของฉัน
จงผูกมิตรกัน
ในฝันที่มัวหมอง
..........
แสนเศร้า


#บทวาบกวี 5 บรรทัด
ปิ่นณรี รำพัน

Wednesday, November 08, 2006

ซาตานที่คุ้นเคย




อรุณดวงใหม่ฉายทอแสง
ไล้ขาที่ตะกายลุกยืน
หมู่วิหกร้องเพลงเบิกฟ้า
ม้าไม้กำลังหมุนไปด้วยรอยยิ้ม
สรรพชีวิตล้วนมีความสุข
ต่างระบำเล่น
โลกกลับมาสวยงามอีกครั้ง

ยามบ่ายแขวนความหวังขึ้นในปุยเมฆ
กำลังใจแหวกว่ายถึงฝั่งแล้ว
ร่างที่ล้มเมื่อวันวารลุกยืนอีกครั้ง
และความสุขอิ่มพองจนสุกปลั่ง
รอยยิ้มเบ่งบานสะพรั่งเต็มที่
เต็มที่จนร่วงโรย .....

ความจีรังชราภาพในโพล่เพล่
ยัดเยียดภาพคนรักเก่าหวนคืน
วกมาในความเจ็บตรงที่เดิม
ที่หัวใจเคยมีรักจากเธอ

วาวใบมีดเปล่งประกาย
ดอกราตรีฟุ้งกลิ่นคลุ้มคลั่ง
โชยคาวเลือดคลุมความมืด
แทรกในคร่ำครวญโหยไห้

และฉัน
กรีดแขนตัวเองทับรอยเดิม
เลือดไหลลบความเจ็บช้ำ
ชะล้างภาพคนรักในอดีต

อีกครั้งในความมืดกับความเหงา
ฉันนั่งคุยกับซาตานที่คุ้นเคย
ถึงความสุขจอมปลอม
ที่ผ่านมาตลอดกลางวัน

เสียงพระเจ้ากระซิบแผ่วแผ่ว
พรุ่งนี้มันจะเป็นอย่างนี้
วนไปและวกกลับซ้ำซ้ำ
เฉกเช่นความตายที่หวนคืน



อาเมน... พระเจ้าผู้ไถ่บาปแห่งโลกด้วยโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์ ขอทรงโปรดปลดปล่อยทาสผู้สังเวยความเจ็บปวดแด่พระองค์
ลูกแกะที่กำลังติดในแร้วของพรานล่าเนื้อ ทรงปลดปล่อยวิญญาณแห่งความทุกข์นี้ให้กลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายข้ามคืนด้วยเถิด


ปิ่นณรี รำพัน

8 - 11 - 49

Friday, November 03, 2006

หลั่งอักขระทะลักบทกวี




หากเธอใคร่จะกุมจินตนา
เสกสร้างบทกวี
จงร่วมอภิรมย์ดูดดื่ม
คลุกเคล้าวิญญาณอันคลุ้มคลั่ง
สมสู่ความคิดเปล่าเปลือย
สนองตัณหาอย่างเสรี
จากดวงใจที่สัตย์ซื่อ
จนหลั่งทะลักอักษรนับหมื่น
บทกวีนับพัน
ท่วมท้นสู่เส้นบรรทัด
บนจักรวาลอันลี้ลับ
ที่กวีทุกนามเคยพำนัก
คลี่จินตนาการห่มตัวเองไว้
ซุกงำจิตวิญญาณจากฝูงชน

มีเพียงเธอ
คนเดียว
ที่รู้จักดินแดนแห่งนั้น


ปิ่นณรี รำพัน
3 - 11 - 49

Sunday, October 22, 2006

คือความตายที่ดีที่สุด



กรีดแขนตัวเองอีกแล้ว
บนท่อนเนื้อที่ย่อยยับ
ชะโลมเลือด...
ทำร้ายตัวเอง...
เพื่อปลดปล่อยหัวใจผู้ทรมาน
จากทัณฑ์แห่งรัก
แต่กำแพงหินก็ยังคมกริบ
ป้อมปราการก็ยังสูงชันเช่นเดิม

ดีที่สุดยามนี้
คือหวังใครคนหนึ่ง
เอื้อมมือฉุดขึ้นจากความช้ำ
กลัดหนองที่อักเสบ
ทดแทนความลวงด้วยรักที่แท้
ทว่า...โลกนี้
ไม่เคยอุบัติแห่งรักแท้
มีเพียงตำนานที่ล่อแขวนไว้
ดึงดูดแมงเม่าโหยกระหายรัก
สู่กองเพลิงแห่งทุกข์อันนิรันดร์

ดีที่สุดรองมา
คือหันเข้าหาความตาย
ปิดทุกบานหน้าต่างประตู
ปิดไฟทุกดวงให้มืดสนิท
กล่อมทาสผู้ภักดีให้หลับใหล
ก้าวพ้นจากชีวิตที่อับเฉา
ด้วยการตายเร็วขึ้น !

ปิ่นณรี รำพัน
22 - 10 - 49

Wednesday, October 18, 2006

ค่ำคืนอันวิปลาส



ข้าฯ ผู้ว่ายในคลองพระเนตร
สายธารมลทินที่รายรอบ
วังวนบาปในสันดานปุถุชน
ล่องผ่านวันคืนอันทรมาน
ลมหายใจที่ไหลทีละเฮือก
เพื่อเฝ้ารอเธอคนนั้น
สู่เส้นทางการชำระล้าง

เธอผู้สัมผัสขอบโลกที่เที่ยงแท้
ลอยเหนือมรรคาแห่งมายาภาพ
และในดวงตาคู่นั้น
ประจักษ์เฉกเช่นข้า
ว่าความสุขไม่มีอยู่จริง
และดอกไม้แห่งจินตนา
ไม่เคยเบ่งบานบนโลกนี้

โอ..บทเรียนอันรวดร้าว
ที่แอบซ่อนมาในความรัก
ทรมานเหลือเกินจะทน
หัวใจที่ตายซากราวผีดิบ
เริ่มมองโลกผ่านดวงตาคู่ใหม่
ลิ้มรสความเจ็บปวดอันหฤหรรย์
เลือดซึมไหลจากเนื้อที่ปริแตก
สั่นระริกกระตุก..กระตุก

ภายใต้ผ้ารัดศรีษะพระองค์
เพื่อรองมงกุฎหนามที่แหลมคม
ทิ่มแทงทรมานผู้ศรัทธา
ก่อนเอื้อมหัตถ์แห่งราชา
จะประทานโอบอุ้มข้า
สู่ภพสรวงดินแดนสวรรค์
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเมตตา
ขอพระองค์นำรักคืนไป
จากใจข้าด้วยเถิด... เอเมน

ปิ่นณรี รำพัน
18 - 10 - 49

Tuesday, October 17, 2006

เมื่อพระเจ้าเมินตะวัน



วันหนึ่งเมื่อพระเจ้าหันหลัง
ให้เธอผู้แพ้รัก
จงเปิดตาเข้าไปในความมืด
มองหาสันดานดิบ
ที่มีรสชาติอันแสบสันต์
จับมือไปกับความเศร้า
โผเข้าหาวงแขนผู้รอคอย
คืออ้อมกอดแห่งซาตาน
ที่ไม่เคยทอดทิ้งผู้ชะโลมกาย
สังเวยเลือดด้วยแผลรัก
ค่ำคืนที่ไม่เปลี่ยวเหงา
ค่ำคืนที่เงาจันทร์ปลุกปีศาจให้ตื่น
ค่ำคืนที่ผีร้ายจะก่อกบฎ
ลุกขึ้นเถิดผู้โหยคร่ำ
ผู้ตะกายขึ้นจากฝั่งทะเลรัก
เปล่งวาจาบรรเลงบทกวี
ละเลงคำประกาศสู่อนันตภพ
ดังว่า
ความรักที่ห้อยแขวน
ส่องสกาวประดับจินตภพ
คือเลื่อนลอยของนักเพ้อฝัน
ผู้ไล่ตามเงาของอากาศ

เธอจะเจอแต่ความระทมขมขื่น
หลอกตัวเองว่ากำลังเจอรักที่แท้
ทั้งที่มันไม่มีจริงตั้งแต่ต้น...........

ปิ่นณรี รำพัน
10 - 10 - 49

เขานั้นกำลังโกหก




ยามคุณอกหัก
เขาว่าความรักจะหลบไปอยู่ที่เดิม
ไม่ได้หายไปไหน
รอใครสักคนคืนรักมาใหม่
.. .. ..
รดหัวใจให้ฟื้นตื่นอีกครา

ยามคุณอกหัก
ผิดหวังจากคนรัก
เขาที่กำลังบอกคุณว่า
ความรักไม่ได้หายไปไหน
.. .. ..
เขานั้นกำลังโกหก

ยามนี้ฉันอกหัก
ผิดหวังจากคนรัก
กลับพบความจริงว่า
รักไม่ได้หายไปไหน
.. .. ..
มันไม่มีจริงตั้งแต่แรก

ปิ่นณรี รำพัน
6 - 10 - 49

อจินตรัยแห่งศรัทธา



ฉันคร่ำครวญใต้จิตสำนึก
โดดเดี่ยวราวแก้วเปล่าน้ำ
อ้างว้าง..

อนันตกาลแห่งภพมืด
ฝังร่างเจ้าของหัวใจ
มอดไหม้วิญญาณเป็นเถ้าผง
อจินตรัยแห่งศรัทธา
ถูกจองจำระหว่างเทพมาร
พลิกหัวใจเข้าสู่วิกลจริต
ทุกคืนทีละน้อย
คลืบคลานมาในฝันวันเก่า
เดิมเดิม..

ซ้ำแล้วซ้ำอีก..
ในคืนที่เงียบเหงา
โดยไม่ตั้งใจ..
เสียงน้ำตากรีดร้องแทนคำพูด
เป็นความตายที่ยังหายใจ
ไม่ใช่ความตายของเธอ
แต่เป็นความผิดของฉัน
ขอโทษ...ฉันผิดเอง
ทุกสิ่งระหว่างเรา ..ฉันผิดเอง

ปิ่นณรี รำพัน

หากความรักทอดทิ้งเธอ V



ฉันไม่อาจจะเขียนสิ่งใดได้อีก
ปลาน้ำลึกกำลังเกยหาด
ดวงดาวกำลังร่วงหล่น
แต่เธอคงไม่เข้าใจ

สักวัน
หากเธอมีหัวใจดวงเดียว
อัดแน่นด้วยชีวิตและความฝัน
ถูกขโมยไป
เธอก็จะไม่เหลืออะไรให้เขียน
เช่นฉัน
มีเพียงความเศร้าที่โอบกอด
จมชีวิตในความระทมทุกข์
หายใจด้วยความเจ็บปวด
ไร้แสงริบรี่ให้มองหา
โลกจะทอดทิ้งเธอให้อยู่ลำพัง
แบมืออันว่างเปล่าที่สิ้นหวัง
ตายไปอย่างเงียบเงียบ

ดูดอกไม้ในกระถางนั้นซิ
มันถอดใจยืนต้นตาย
แห้งเหี่ยวกลางสายฝน
เช่นฉันยามนี้
รู้สึกเหมือน....
กำลังใช้ชีวิตโดดเดี่ยว
อยู่ในขุมนรกทั้งเป็น

ปิ่นณรี รำพัน
7 - 10 - 49

Monday, October 16, 2006

หากความรักทอดทิ้งเธอ IV



นั่งมองเตียงที่ว่างเปล่า
ในห้องมืดของคนไร้ค่า
ถูกทิ้ง....

ลากตัวเองไปซุกในซอกแคบ
จมอดีตที่เคยทุ่มไว้ทั้งชีวิต
ไม่อยากร้องไห้เหมือนคนอ่อนแอ
บอกตัวเองให้เก็บกดมันไว้
แต่น้ำตามันก็คลอ...
เอ่อล้นออกมาเอง
ฉันเกลียดน้ำตาตัวเอง

ไม่อยากนั่งเฉยเฉยอยู่แบบนี้
หัวใจมันเต้นไวเกินระงับ
เสียงด่าทอตัวเองดังมาจากภายใน
และชีวิตก็หลุดจากร่างตามเขาไป
ตั้งแต่วันนั้น....

ตั้งแต่วันนั้น
ฉันก็ฝันถึงความเจ็บปวดและภาพปีศาจ
นอนหนุนคมมีดจนหลับไหล
บาดแผลบนร่างกายมีนับพัน
บาดแผลในใจมีเพียงแห่งเดียว
ทุกครั้งที่กรีดคมมีดลากไปบนแขนซ้าย
ฉันเจ็บ..... และสีแดงของเลือดก็ไหล

รู้สึกเพียงรสชาติชนิดหนึ่งที่สาสม
แต่...ความเจ็บมันไม่เคยเข้าถึงใจ
ไม่เคยเข้าถึงภาพของเธอ
ที่ฝักรากอยู่ในที่ลึกสุดของหัวใจ
เพราะ..... ฉันยังคงรักเธออยู่

ปิ่นณรี รำพัน
13 - 10 - 49